top of page

วันปลอดรถโลก 22.09.2019



รถยนต์ส่วนตัว คือ ความสะดวกสบายของทุกคนในการเดินทาง

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสะดวกนี้เองเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างปัญหามลพิษทางอากาศอย่างมาก

แม้ทั่วโลกต่างตื่นตัว แต่กว่าเราทุกคนจะเปลี่ยนได้ ก็ต้องใช้เวลานาน


ก่อนวันนั้นจะมาถึง จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า

หากเราคิดค่าเฉลี่ยเป็นรถขนาดกลาง (เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร)

คนเราเดินทางไปกลับประมาณ 27 กม. ต่อวัน

วิ่งในเมืองปกติใช้น้ำมันประมาณ 9 กม./ลิตร

นำตัวเลขมาหารกันง่าย ๆ เท่ากับ เราขับรถคันหนึ่งใช้น้ำมันประมาณ 3 ลิตรต่อวัน

3 ลิตร อาจเป็นปริมาณดูน้อยนิด แต่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมีรถหลายล้านคันวิ่งอยู่ทุกวัน

ถ้าคิดคร่าว ๆ แค่ 1 ล้านคัน ก็เท่ากับ 3 ล้านลิตรแล้ว (เกือบ 1 ล้านแกลลอน)


หากเราสามารถทิ้งรถไว้บ้าน แล้วใช้ขนส่งสาธารณะแทนสักวันหนึ่งได้

จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 8 ล้านกิโลกรัม

หรือเท่ากับการฟอกคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้จำนวน 650 ล้านต้น

นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้เกือบ 100 บาท

อาจดูน้อย แต่ถ้าคิดภาพ แค่กรุงเทพ เราก็ช่วยชาติประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้ถึง 100 ล้านบาท

แล้วถ้าเราช่วยกันทั้งประเทศ ไปจนถึงทั้งโลก จะเป็นผลดีมากแค่ไหน จริงไหมครับ


แล้วยังจำฝุ่นพิษ PM 2.5 กันได้ไหมครับ?

ที่มาของมัน ส่วนมากก็เกิดจากรถยนต์ที่เราใช้กันนี่ล่ะครับ

รวมทั้งก๊าซพิษอื่น ๆ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (กำมะถัน) และ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ด้วย


World Car Free Day วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายนนี้ เราช่วยให้โลกไม่ต้องรับมลพิษจากพวกเรากันเถอะครับ

เราจะได้ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ได้สูดอากาศที่สดชื่นขึ้น สักวันก็ยังดีนะครับ บางคนอาจได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย


แต่เราก็ไม่ควรหยุดแค่นี้เช่นกัน ถ้าทำได้ ลองลดการใช้รถ หันมาใช้ขนส่งสาธารณะกันให้มากขึ้น

ถ้าไม่ไกลมาก เราอาจเดินหรือปั่นจักรยานไปได้

หรือหากคิดจะซื้อรถใหม่ ก็ลองมองหารถที่ปล่อยมลพิษต่ำ หรือรถพลังงานทดแทนต่าง ๆ

รถพลังงานไฟฟ้ากำลังจะเข้าตลาดมามากขึ้น แน่นอนว่าจะมีจุดชาร์จเพิ่มขึ้นเช่นกัน

บางคนอาจจะกังวลกับของใหม่ ใช้ไฟฟ้าแล้วจะช็อตไหม แบตเตอรี่จะระเบิดไหม

เราอยากบอกว่า น้ำมันอันตรายกว่าหลายเท่าครับ และรถก็ต้องได้รับรองจากองค์กรนานาประเทศก่อนจะวางขายได้อยู่แล้ว


อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนเลยครับ เราทำก็ไม่ใช่เพื่อใคร นอกจากลูกหลานของเราที่จะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างปลอดภัยต่อไป


เราเชื่อเสมอว่า

การเปลี่ยนอะไรเพียงเล็กน้อยของเราคนหนึ่ง

-ก็สามารถ-

สร้างความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้


bottom of page